------------------------------------------------------------------------------------
สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดสุรินทร์
อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง
(ปุม)
สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก
ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์
อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ทางด้านใต้
เดิมเคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์
อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง ๒.๒
เมตร มือขวาถือของ้าว
อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์
รูปปั้นสะพายดาบคู่อยู่บนหลังอันหมายถึงความเป็นนักรบ
ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดเป็นมรดกของคนสุรินทร์
อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๘
วัดบูรพาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนกรุงศรีใน ตำบลในเมือง
ใกล้กับศาลากลางจังหวัด วัดบูรพารามเป็นวัดเก่าแก่
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี หรือในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
มีอายุประมาณ ๒๐๐ ปี เท่ากับอายุเมืองสุรินทร์ โดยพระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง
(ปุม)
ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป คือ
หลวงพ่อพระชีว์ (หลวงพ่อประจี)
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาพร้อมกับวัดบูรพาราม
นอกจากนี้ผู้มาเยือนยังสามารถแวะนมัสการรูปเหมือนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
(เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ฝ่ายธรรมยุต
เป็นพระเถระที่อาวุโส)
ซึ่งเป็นที่เคารพกราบไหว้ของบุคคลทั่วไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกวัดบูรพารามขึ้นเป็นพระอารามหลวงตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐
ห้วยเสนง
เป็นอ่างเก็บน้ำของโครงการชลประทาน
อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๔ (สุรินทร์-ปราสาท)
ประมาณ ๕ กิโลเมตร บริเวณหลักกิโลเมตรที่ ๕-๖
แยกซ้ายมือไปทางถนนริมคลองชลประทาน ประมาณ ๔ กิโลเมตร
ห้วยเสนงนี้เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีสันเขื่อนสูง บนสันเขื่อนเป็นถนนลาดยาง
เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองสุรินทร์
และภายในที่ทำการชลประทานมีพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอีกด้วย
(การเข้าชมพระตำหนักต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้า
) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.
๐ ๔๔ ๕๑ ๑๙๖๖
วนอุทยานพนมสวาย
อยู่ในเขตตำบลนาบัว
ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ ๒๒ กิโลเมตร ใช้เส้นทางสุรินทร์-ปราสาท
(ทางหลวงหมายเลข ๒๑๔)
ระยะทาง ๑๔ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ ๖ กิโลเมตร
เป็นภูเขาเตี้ยๆ มียอดเขาอยู่ ๓ ยอด ยอดที่ ๑
มีชื่อว่ายอดเขาชาย (พนมเปราะ)
สูง ๒๑๐ เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมสวาย
มีบันไดขึ้นถึงวัด มีสระน้ำกว้างใหญ่และร่มรื่นด้วยต้นไม้
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคลปางประทานพร ภปร.
ยอดที่ ๒
มีชื่อว่ายอดเขาหญิง (พนมสรัย)
สูงระดับ ๒๒๘ เมตร
ทางวัดได้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ขนาดกลางประดิษฐานไว้ ยอดที่ ๓
มีชื่อว่าเขาคอก (พนมกรอล)
พุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ได้จัดสร้างศาลาอัฏฐะมุข
เป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ ๒๐๐ ปี
แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง
จากยอดเขาชายมาประดิษฐานไว้ในศาลา โดยเริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่วันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๔ และเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๕
ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงเป็นวนอุทยานแล้ว
บรรพบุรุษชาวสุรินทร์ถือว่าเป็นสถานที่แสวงบุญ
จะมีการเดินขึ้นยอดเขาในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕
ซึ่งเป็นวันหยุดงานตามประเพณีของชาวจังหวัดสุรินทร์มาแต่โบราณกาล
ปราสาทเมืองที
ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลเมืองที
ภายในบริเวณวัดจอมสุทธาวาส
ปราสาทเมืองทีเป็นปราสาทแบบเขมรที่ได้รับการดัดแปลงในสมัยหลังเช่นเดียวกับปราสาทศรีขรภูมิ
ปราสาทก่อด้วยอิฐฉาบปูน มี ๕ หลัง
สร้างรวมกันเป็นหมู่บนฐานเดียวกันหลังหนึ่งอยู่ตรงกลาง และอีก ๔
หลังอยู่ที่มุมทั้ง ๔ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง ๓
หลังซึ่งมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง
หลังกลางมีขนาดใหญ่สุด มีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ด้าน
ตัวเรือนธาตุตันทึบไม่มีประตูเนื่องจากการดัดแปลง
ส่วนหลังคาทำเป็นชั้นมี ๓ ชั้นเลียนแบบตัวเรือนธาตุ ส่วนยอดบนหักหาย
นับเป็นโบราณสถานเขมรอีกแบบหนึ่งที่นิยมสร้าง คือ
มีปราสาทหลังกลางเทียบเท่าเขาพระสุเมรุ
และมีปรางค์มุมทั้งสี่ตามความเชื่อในลัทธิศาสนาพราหมณ์
แต่ไม่พบจารึกหรือลวดลายทางศิลปะที่สามารถบอกว่าสร้างขึ้นเมื่อใด
หมู่บ้านหัตถกรรมเขวาสินรินทร์
ตั้งอยู่ทางเหนือของตัวเมืองสุรินทร์
เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในการทอผ้าไหมพื้นเมืองที่เรียกว่า ผ้าโฮล
และการผลิตลูกประคำเงิน ที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน เรียกกันว่า ลูกปะเกือม
นำมาทำเป็นเครื่องประดับของสุภาพสตรีที่สวยงาม
มีร้านค้าจำหน่ายสินค้าในบริเวณหมู่บ้าน ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๔
(สายสุรินทร์-ร้อยเอ็ด)
ไปประมาณ ๑๔ กิโลเมตร
แยกขวามือไปอีก ๔ กิโลเมตร
ปราสาทบ้านไพล
ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ตำบลเชื้อเพลิง
ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ ๒๒ กิโลเมตร
(ก่อนถึงที่ว่าการอำเภอปราสาท ๗
กิโลเมตร)
มีทางแยกขวาไปตามถนนลาดยางอีก ๓ กิโลเมตร เป็นศาสนสถานศิลปะขอมที่สร้างถวายแด่พระอิศวร
ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นปรางค์ ๓ องค์
สร้างด้วยอิฐขัดตั้งเรียงเป็นแนวเดียวกัน มีคูน้ำล้อมรอบ
ยกเว้นทางเข้าด้านทิศตะวันออก แม้ว่าศิวลึงค์และทับหลังบางส่วนจะหายไป
แต่จากเศษทับหลังที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายทำให้ทราบว่าปราสาทหลังนี้คงสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่
๑๖
ปราสาทหินบ้านพลวง
ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง ตำบลบ้านพลวง
ห่างจากที่ว่าการอำเภอปราสาท ๔ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๔
(สุรินทร์-ปราสาท-ช่องจอม)
มีทางแยกซ้ายมือกิโลเมตรที่ ๓๔-๓๕ไปอีกราว
๑ กิโลเมตร
ปราสาทหินบ้านพลวงเป็นปราสาทหินขนาดเล็กแต่ฝีมือการสลักหินประณีตงดงามมาก
ได้รับการขุดแต่งบูรณะเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๑๕ โดยวิธีอนัสติโลซิส คือการรื้อตัวปราสาทลง
เสริมความมั่นคง และประกอบขึ้นใหม่ดังเดิม
ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้เป็นปรางค์องค์เดียว
ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียวส่วนด้านอื่นอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก
องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลง หินทราย
และมีอิฐเป็นวัสดุร่วมก่อสร้างในส่วนบนของปราสาท
โบราณสถานแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมจำหลักลายงดงามมาก
แต่องค์ปรางค์เหลือเพียงครึ่งเดียว ส่วนยอดหักหายไป
มีคูน้ำเป็นรูปตัวยูล้อมรอบ ถัดจากคูน้ำเป็นบาราย (สระน้ำขนาดใหญ่)
ที่เห็นเป็นคันดิน
เดิมคงเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนมาก่อน
บริเวณรอบองค์ปราสาทได้รับการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ลักษณะของทับหลังที่พบส่วนมากสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณอยู่ภายในซุ้มเหนือหน้ากาล
ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ ส่วนทางด้านเหนือสลักเป็นรูปพระกฤษณะฆ่านาค
สันนิษฐานได้ว่า ปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นสำหรับพระอินทร์
นอกจากนี้ช่างมักสลักเป็นรูปสัตว์เรียงเป็นแนว เช่น ช้าง กระรอก หมู
ลิง และวัวอยู่บนทับหลัง สำหรับหน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นรูปพระกฤษณะ
ยกภูเขาโควรรธนะและเช่นเดียวกัน มีรูปสลักเป็นรูปสัตว์เล็ก ๆ
นอกกรอบหน้าบันอันน่าจะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำต่าง ๆ
อยู่มาก ที่ผนังด้านหน้ามีรูปทวารบาลยืนกุมกระบอง
ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้คล้ายกับปรางค์น้อยบนเขาพนมรุ้ง
ลวดลายเป็นลักษณะศิลปะขอมแบบ บาปวน กำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่
๑๖-๑๗
จากลักษณะของฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่
มีพื้นที่ทางด้านข้างขององค์ปรางค์เหลืออยู่มาก สันนิษฐานว่า
แผนผังของปราสาทแห่งนี้น่าจะประกอบด้วยปรางค์สามองค์สร้างเรียงกัน
แต่อาจยังสร้างไม่เสร็จหรืออาจถูกรื้อออกไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้
ปราสาทหินบ้านพลวงเปิดให้ชมทุกวัน ระหว่างเวลา ๐๗.๓๐-๑๘.๐๐
น. ค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐
บาท ชาวต่างประเทศ ๓๐ บาท
โบราณสถานกลุ่มปราสาทตาเมือน
ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนา
ตำบลตาเมียง เป็นโบราณสถานแบบขอม ๓ หลัง ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
ติดแนวชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์
ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๑๔ ผ่านอำเภอปราสาท แยกไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๒๑
ที่จะไปอำเภอบ้านกรวดประมาณ ๒๕ กิโลเมตร มีทางแยกที่บ้านตาเมียง ไปอีก
๑๓ กิโลเมตร
ปราสาทตาเมือน
ศาสนสถานของพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
สร้างขึ้นเพื่อเป็นธรรมศาลาหรือที่พักคนเดินทางแห่งหนึ่งใน ๑๗
แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
มหาราชองค์สุดท้ายแห่งเมืองพระนครโปรดให้สร้างขึ้นจากเมืองยโสธรปุระ
เมืองหลวงของอาณาจักรขอมโบราณไปยังเมืองพิมาย ปราสาทตาเมือนเป็นศิลปะขอมแบบบายนสร้างด้วยศิลาแลงเช่นเดียวกับโบราณสถานสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ ที่พบในดินแดนประเทศไทย
มีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวมีห้องยาวเชื่อมต่อมาทางด้านหน้า
ผนังด้านเหนือปิดทึบ แต่สลักเป็นหน้าต่างหลอก
ส่วนด้านใต้มีหน้าต่างเรียงกันโดยตลอด
เคยมีผู้พบทับหลังเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ๒-๓
ชิ้น
ตลาดการค้าช่องจอม
ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 และ 14
บ้านด่านพัฒนา ตำบลด่าน
เดิมอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยทับทัน-ห้วยสำราญและประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๘
ช่องจอมเป็นเส้นทางข้ามแดนที่ใหญ่และสะดวกที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ที่จะไปยังกัมพูชา
(ฝั่งตรงข้ามด้านกัมพูชาเป็นชุมชนโอร์เสม็ด อำเภอสำโรง
จังหวัดอุดรมีชัย)
ทำให้มีการติดต่อสัญจรไปมาและซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชาวไทยและกัมพูชามาเป็นเวลาช้านาน
และเป็นที่มาของแนวความคิดในการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศตลาดแห่งนี้เปิดทำการค้าขายและสัญจรไปมาทุกวัน
ระหว่างเวลา ๐๗.๐๐-๒๐.๐๐
น.
ประเภทสินค้ามีทั้งสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
และสิ่งประดิษฐ์จากไม้ เช่น ม้านั่ง หัตถกรรมไม้ เสื่อสาน
ตะกร้าสานต่าง ๆ การเดินทาง ใช้เส้นทางสุรินทร์-ช่องจอม
ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ ๖๙ กิโลเมตร และห่างจากตัวอำเภอกาบเชิง ๑๓
กิโลเมตร
ปราสาทศีขรภูมิ
ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง
ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ ๓๔ กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข ๒๒๖
ห่างจากที่ว่าการอำเภอ ๑ กิโลเมตร ปราสาทศรีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ
๕ องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน
มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกัน
ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออก
ปรางค์ทั้งห้าองค์มีลักษณะเหมือนกัน
คือ องค์ปรางค์ไม่มีมุขมีประตูทางเข้าด้านเดียว
มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ
ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุน
ปรางค์ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น
องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช
(พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ)
บนแท่น มีหงส์แบก ๓ ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข
รูปพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา)
อยู่ด้านล่าง
เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล ทับหลังรูปศิวนาฏราชนี้ถือได้ว่ามีความงามกว่าทับหลังชิ้นใด
ๆ ที่สลักเรื่องราวเดียวกันทั้งที่พบในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา
ส่วนปรางค์บริวารพบทับหลัง ๒ ชิ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย เป็นภาพกฤษณาวตาร ทั้งสองชิ้น
ชิ้นหนึ่งเป็นภาพกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์
จากลวดลายที่เสาและทับหลังขององค์ปรางค์
มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน (พ.ศ.
๑๕๕๐-๑๖๕๐)
และแบบนครวัด (พ.ศ.
๑๖๕๐-๑๗๐๐)
จึงอาจกล่าวได้ว่า
ปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือต้นสมัยนครวัด
โดยสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
และคงถูกดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่
๒๒ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ปราสาทศีขรภูมิเปิดให้เข้าชมทุกวัน
เวลา ๐๘.๐๐-๑๖.๓๐
น. อัตราค่าเข้าชมชาวไทย
คนละ ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๓๐ บาท
หน้า
1 |
2
|